แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ แหล่งที่มา โรงพยาบาลราษฎร์บูรณะ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ แหล่งที่มา โรงพยาบาลราษฎร์บูรณะ แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคความดันโลหิตสูง

  1. ลดอาหารเค็ม ของหมักดอง
  2. ลดน้ำหนัก (ถ้าอ้วน) โดยการรับประทานผัก ผลไม้เพิ่มขึ้น งดของหวาน มัน ของทอด แป้ง
  3. งดสูบบุหรี่ งดดื่มสุรา
  4. ทำให้จิตใจให้เบิกบานแจ่มใสอยู่เสมอ
  5. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  6. ออกกำลังกายเป็นประจำ
  7. รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
  8. หมั่นสังเกตอาการตนเอง วัดความดันโลหิตเป็นประจำ และมาตรวจตามแพทย์นัดทุกครั้ง
  9. เมื่อมีอาการผิดปกติ ควรมาพบแพทย์

อันตรายของโรคความดันโลหิตสูง

หลอดเลือดแดง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ เช่น หัวใจ สมอง ไต โดยทำให้ผนังด้านในหนา แข็งตัว ขาดความยืดหยุ่น ขรุขระ ผนังหลอดเลือดไม่แข็งแรงโปร่งแตกง่าย

หัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ทำให้เกิดโรคหัวใจโต

สมอง ความดันโลหิตสูง ทำให้ผนังหลอดเลือดหนา ขรุขระ ตีบแคบ เลือดผ่านไม่สะดวกเกิดภาวะหลอดเลือดแดงอุดตันหรือหลอดเลือดแดงในสมองแตก ซึ่งทำให้เป็นโรคอัมพาต อัมพาตแบบชั่วคราว, อัมพาตแบบถาวร หรือถึงแก่ความตายได้

ไต ผนังหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไตจะหนาแข็ง รูบตีบแคบ ขรุขระ เลือดเลี้ยงไตไม่พอ ทำให้โตมีขนาดเล็กลง หรือฝ่อลงเสื่อมสมรรถภาพการทำงาน จนเกิดภาวะไตวาย

จอตา เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงตา ทำให้สายตาเสียหรือตาบอด

การป้องกันความดันโลหิดสูง

โรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุ แต่ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ส่งเสริมให้เกิดโรค เป็นวิธีที่เราสามารถป้องกันได้ ดังนี้
  • ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน
  • ไม่รับประทานอาหารเค็มจัด
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • พักผ่อนไห้เพียงพอ
  • ลดความเครียดความกังวลทำให้จิตใจแจ่มใส
  • งดสูบบุหรี่ งดการดื่มสุรา

ผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคนี้หรือผู้ที่มีอายุ 40 ขึ้นไป ควรได้รับการตรวจวัดความดันโลหิตอย่างน้อย 3 เดือนครั้ง

ผู้ใดบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูง

  1. ผู้ที่มีประวัติความดันโลหิตสูงในครอบครัว เช่น บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นต้น
  2. ผู้ที่อ้วน, น้ำหนักตัวมาก
  3. ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิดมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง เช่น โรคเบาหวาน, โรคไขมันในเลือดสูง, โรคไต
  4. ผู้ที่เครียดมาก คิดมากก็อาจจะเป็นโรคความดันโลหิตสูงในระยะต่อมา
  5. ผู้ที่สูบบุหรี่

ความดันโลหิตสูง

ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ หัวใจบีบตัวเป็นจังหวะ เพื่อให้เลือดที่อยู่ในหัวใจและหลอดเลือด ไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

แรงดันที่เกิดขึ้น เมื่อหัวใจบีบตัวจะเป็นแรงดันอันหนึ่งเป็นค่าสูง และเมื่อหัวใจคลายตัวจะได้แรงดันอีกอันหนึ่งเป็นค่าต่ำ

ความดันโลหิตของคนปกติ จะไม่เกิน 140/90 มม.ปรอท ถ้าสูงกว่านี้จะถือว่าเป็นความดันโลหิตสูง

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

อาหารกับการควบคุมเบาหวาน

การควบคุมเบาหวานถึงแม้จะมีการรักษาด้วยยาแล้วก็ตาม ยังจำเป็นต้องควบคุมอาหารร่วมด้วย การควบคุมอาหาร คือ การที่รู้จักเลือกรับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนอย่างสมดุล จะช่วยป้องกันหรือลดความรุนแรงของโรคแทรกซ้อนที่จะตามมาภายหลังได้
  1. อาหารที่รับประทานได้โดยไม่จำกัด ได้แก่ ผัก ประเภทที่มีใยมาก เช่น ผักกาดขาว ผักบุ้งไทย ผักขม แตงกวา บวบ ตำลึง สายบัว กะหล่ำปลี
  2. อาหารที่ผู้ป่วยเบาหวานต้องจำกัดปริมาณ ได้แก่ อาหารประเภทข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว อาหารที่มีไขมันมาก เนื้อสัตว์ติดมัน
  3. อาหารที่ผู้ป่วยเบาหวานควรงด ได้แก่ น้ำตาลทุกชนิด น้ำหวาน น้ำอัดลม นมปรุงแต่งรส แยม ผลไม้บรรจุกระป๋อง ผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน ขนุน ขนมหวานทุกชนิด เครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์

อาการสำคัญที่พบบ่อยในโรคเบาหวาน

  • ปัสสาวะบ่อย และมีปริมาณน้ำปัสสาวะมาก ถ้าตั้งทิ้งไว้อาจมีมดขึ้น
  • คอแห้ง กระหายน้ำ และดื่มน้ำมาก เป็นผลจากการที่ร่างกายเสียน้ำไปจากการปัสสาวะบ่อยและมาก ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำจึงต้องชดเชยด้วยการดื่มน้ำบ่อย ๆ
  • หิวน้ำบ่อยและรับประทานจุ เนื่องจากร่างกายขาดพลังงาน จึงทำให้รู้สึกหิวบ่อย และรับประทานจุ
  • น้ำหนักลด ผอมลง อ่อนเพลีย
  • คันตามผิวหนังและอวัยวะสืบพันธุ์

ผู้ที่มีอาการบางอย่างดังกล่าว ควรได้รับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดให้แน่ใจว่าเป็นเบาหวานหรือไม่ สำหรับบุคคลทั่วไปก็ควรได้รับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำทุกปี

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

สาเหตุและโอกาสที่ทำให้เป็นเบาหวาน

เบาหวาน สามารถสืบทอดทางกรรมพันธุ์ได้ นอกจากนี้ ยังพบว่า มีอีกหลายปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดเบาหวานได้หลายประการ เช่น


  • ความอ้วน เนื่องจากในคนอ้วน เนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย มีการตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินลดน้อยลง อินซูลินจึงไม่สามารถพาน้ำตาลเข้าไปในเนื้อเยื่อได้ดีเช่นเดิม จึงมีน้ำตาลส่วนเกินอยู่ในกระแสเลือด
  • สูงอายุ ตับอ่อนจะสังเคราะห์และหลั่งฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยลง ในขณะที่ได้รับน้ำตาลเท่าเดิม จึงมีน้ำตาลส่วนเกินในกระแสเลือด
  • ตับอ่อนได้รับความกระทบกระเทือน เช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรังจากการดื่มสุรามากเกินไป หรือ ตับอ่อนอักเสบเรื้อรังจากการดื่มสุราเกินไป หรือ ตับอ่อนบอบช้ำจากการประสบอุบัติเหตุ ซึ่งมีความจำเป็นต้องผ่าตัดเอาตับอ่อนบางส่วนออก สำหรับคนที่มีความโน้มเอียงที่จะเป็นเบาหวานอยู่แล้ว ปัจจัยดังกล่าวนี้จะกล่าวนี้จะเป็นตัวชักนำให้อาการของเบาหวานแสดงออกเร็วขึ้น
  • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น คางทูมและหัดเยอรมัน เป็นต้น
  • ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาคุมกำเนิด
  • การตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนหลายชนิดที่รกสังเคราะห์ขึ้น มีผลยับยั้งการทำงานของอินซูลิน

โรคเบาหวาน

คืออะไร

โรคเบาหวาน คือ ภาวะที่ร่างกายมีปริมาณมีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องจากขาดฮอร์โมนเรียกว่า อินซูลิน ทำให้การเผาผลาญอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลในร่างกายมีน้อยจึงเกิดการคั่งของน้ำตาลในเลือดและอวัยวะต่าง ๆ เมื่อมีน้ำตาลคั่งในเลือดมาก ๆ ก็เกิดโรคแทรกซ้อนตามมา

อินซูลิน เป็นสารที่สร้างจากตับอ่อน ทำหน้าที่ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติแม้หลังรับประทานอาหาร

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

โรคตาแดง

โรคตาแดงจากเชื้อไวรัส เกิดขึ้นได้บ่อยโดยเฉพาะในเด็กเล็ก และเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาเป็นโรคที่ไม่รุนแรง แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มเป็น ก็อาจติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนทำให้ตาพิการได้



โรคตาแดงติดต่อกันได้อย่างไร

โรคมักระบาดในกลุ่มคนที่อยู่รวมกันอย่างแออัดโดยอาจแพร่ติดต่อจากการสัมผัสโดยตรงกับน้ำตา ขี้ตาของผู้ป่วย ส่วนมากมักติดกันทางอ้อมโดย




  • ใช้มือสกปรกที่มีเชื้อโรคขยี้ตา

  • ใช้สิ่งของเครื่องใช้ เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แว่นตา ขันน้ำ และของใช้อื่น ๆ ร่วมกับผู้ที่เป็นโรค

  • แมลงหวี่หรือแมลงวันตอมตา

อาการของโรคตาแดงเป็นอย่างไร


หลังจากได้รับเชื้อโรคเข้าตา ประมาณ 24 - 48 ชั่วโมง จะมีอาการระคายเคืองตา ปวดตา มีน้ำตาไหล กลัวแสง มีขี้ตามาก หนังตาบวม เยื่อบุตาขาวจะอักเสบ แดง ซึ่งอาจเริ่มที่ตาข้างใดข้างหนึ่งก่อน หรือเป็นทั้ง 2 ข้างพร้อมกันก็ได้ อาจมีไข้ต่ำ ๆ หรือครั่นเนื้อครั่นตัว หรืออาการปวดเสียวที่แขนขาด้วย ผู้ป่วยมักจะหายได้เอง ภายใน 1-2 สัปดาห์ ถ้าไม่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน


เมื่อเป็นโรคตาแดงควรปฎิบัติตัวอย่างไร

  • เมื่อมีอาการตามที่กล่าวมา ควรรีบไปพบแพทย์ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะชนิดหยอดหรือป้ายตา เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย ป้ายตาติดต่อกันประมาณ 7 วัน สำหรับผู้ป่วยบางรายที่มีไข้ ปวดศีรษะก็ใช้ยาลดไข้แก้ปวดตาอาการ ถ้ามีอาการรุนแรงขึ้น ต้องรีบไปพบแพทย์อีกครั้ง
  • ควรพักสายตา ไม่ใช้สายตามากนัก
  • ควรหยุดเรียนหรือหยุดงานประมาณ 1-2 สัปดาห์ หรือจนกว่าอาการตาแดงจะหายเป็นปกติ และไม่ควรไปในที่ชุมชน เช่น โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ เพราะอาจนำโรคไปแพร่ติดต่อให้ผู้อื่นได้
  • แยกของใช้ส่วนตัวของผู้ป่วย อย่าให้ผู้อื่นใช้รวมด้วย
  • ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังจากถูกต้องตาและหมั่นล้างมือบ่อย ๆ

มีวิธีการป้องกันไม่ให้ติดโรคตาแดงไหม

โรคนี้ป้องกันได้โดยการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ได้แก่

  • หมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ ไม่ใช่มือที่ไม่ได้ล้างให้สะอาดขยี้ตา
  • เมื่อฝุ่นละอองหรือผงเข้าตา ไม่ขยี้ตาให้ล้างด้วยน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว
  • ไม่ใช้สิ่งของ เช่น แว่นตา ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดมือ หรือถ้วยล้างตา ร่วมกับผู้อื่นโดยเฉพาะเมื่อมีโรคตาแดงระบาด ต้องระวังให้มากยิ่งขึ้น
  • ซักเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ฯลฯ ผึ่งแดดให้สะอาดอยู่เสมอ
  • ในสถานที่ที่คนอยู่ร่วมกันอย่างแออัด ควรจัดหาน้ำสะอาดให้เพียงพอสำหรับการล้างมือ ล้างหน้า และใช้อาบ