ในสมัยที่ยังเป็นนักเรียนอยู่ คิดว่าทำไมเวลาเราจะทำการบ้านหรือรายงานทำไมไม่มีข้อมูลให้เรานะ ดังนั้นทำให้คิดได้ว่าเราก็ทำขึ้นมาซักเอง พยายามรวบรวมข้อมูลที่น่าจะทำรายงานหรือการบ้าน หรืออื่น ๆ ได้
วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ละครคาบูกิ
การวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ละครของโลกปรากฏว่าศิลปละครโบราณนั้น ทันทีที่รูปแบบศิลปนั้น ๆ มั่นคงในระดับที่เกือบสมบูรณ์ที่สุด ก็จะสามารถผ่านการพิสูจน์ของกาลเวลา แม้ว่าเนื้อเรื่องจะมิอยู่ในสมัยนิยมก็ตาม
ความจริงข้อนี้ได้พิสูจน์ออกมาแล้วด้วยละคร คาบูกิ ในปัจจุบัน ว่าเป็นศิลปการแสดงที่มิใช่สะท้อนให้เห็นสภาพชีวิตปัจจุบันของญี่ปุ่นอันเป็นประเทศที่พลเมืองทุกวันนี้ใช้ชีวิตความเป็นอยู่แบบชาวญี่ปุ่นอันเป็นประเทศที่พลเมืองทุกวันนี้ใช้ชีวิตความเป็นอยู่แบบชาวตะวันตกกันเป็นส่วนใหญ่ และแม้กระนั้นละคร คาบูกิ ก็ยังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางมาตลอดเวลาเหตุผลสำคัญก็มาจากข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ว่า ละครคาบูกิ คือศิลปที่ได้ผ่านการเจียรนัยอย่างดี ดังนั้นละครคาบูกิ จึงได้เป็นและจะเป็นความภาคภูมิใจและความหวงแหนของประชาชนญี่ปุ่นต่อไป
วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ละครคาบูกิ
ลักษณะเด่นที่สุดของ คาบูกิ ในฐานะที่เป็นนาฎศิลป์ เมื่อเทียบกับละครประเภทต่าง ๆ แล้ว อาจจะคือการที่ ละครคาบูกิ ยกความสำคัญให้ตัวละครนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ บทละครขั้นอมตะของ "คาบูกิ" ส่วนใหญ่จึงต้องให้ นักเขียนบทที่ทำงานสังกัดโรงละครคาบูกิ สร้างบทให้โดยเฉพาะ นักเขียนประเภทนี้จึงต้องพิถีพิถันในการศึกษา จุดเด่นและจุดอ่อนของผู้แสดงแต่ละคน เท่า ๆ กับการศึกษาค้นคว้าให้เข้าถึงเรื่องที่จะเขียนบทออกมา และนักเขียนเหล่านี้มักจะต้องประสบกับยากลำบากนานัปการในการสร้างบทออกมาให้เหมาะสมกับอัจฉริยะพิเศษในตัวนักแสดงเหล่านี้ บ่อยครั้งที่นักแสดงเห็นว่าการแสดงเป็นเพียงหนทางเพื่อการนำแสดงของตน จึงได้เปลี่ยนบทเจรจาและ พล้อตเรื่องตามอารมณ์ของตน
กระนั้น จากการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย ความยิ่งใหญ่ของละครคาบูกิมาจากนักแสดง การพิจารณาคัดเลือกตัวละครคาบูกิก็ยึดหลักเที่ยงตรงที่สุด นับแต่นาฏศิลป์ คาบูกิ ได้อุบัติขึ้นบนรากฐานที่เป็นแบบแผนของตัวเองโดยเฉพาะมาก่อนแล้วทุก ๆ คน วิธีการนี้ได้กลายเป็นกฎตายตัวขึ้นมาเองว่าใครก็ตามที่ใฝ่ฝันใคร่จะเป็นดาราละครคาบูกิจะต้องเริ่มต้นฝึกตั้งแต่เด็ก ๆ เป็นต้นมาเสียก่อนจึงจะมีโอกาส "เข้าถึง" ศิลปการแสดงนี้ได้อย่างแท้จริง เขาจะต้องทำการฝึกฝนนาฎศิลป์สาขาต่าง ๆ ให้มีความรู้ ด้วยเหตุที่คาบูกิคือละครรำประเภทหนึ่ง ดังนั้นการฝึกฟ้อนรำแบบญี่ปุ่นและดนตรีญี่ปุ่นจึงเป็นส่วนสำคัญของการฝึกฝนอบรมดังกล่าว
พึงตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยว่า เทคนิคสำคัญในการแสดงละครคาบูกินั้นมิได้อยู่ที่ดาราในขณะนั้นคิดขึ้นมาด้วยตนเอง แต่เป็นผลิตผลความสามารถต่าง ๆ ที่ได้จากดารารุ่นก่อนนั้น ๆ สร้างไว้ และตกทอดกันมาเรื่อย ๆ หลายชั่วอายุคนและมักเป็นสมบัติตกทอดกันมาเป็นตระกูล ๆ ฉะนั้นปัจจุบันนี้ยังมีตระกูลดาราละครคาบูกิที่สืบวิชากันมาถึง 17 ชั่วอายุคนอยู่หลายตระกูล ในสังคมระบอบฟิวดัลยุค "เอโด" นั้น กฎหมายควบคุมสิทธิการสืบเชื้อสายเกือบมิจำเป็นต้องบัญญัติขึ้น อีกประการหนึ่งคุณลักษณะของศิลปะละครคาบูกิ จำเป็นต้องพึ่งผู้ฝึกและผู้ชำนาญในศิลปการแสดงทางนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นระบบภายในครอบครัวจึงเหมาะสมอย่างยิ่ง แม้ทุกวันนี้วงการละครคาบูกิ ก็ยังต้องยึดวิธีการดังกล่าวกันอยู่และยังถือว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าจะไปหาตัวผู้สันทัดกรณีด้านนี้จากวงการอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป เพราะการได้ตัวผู้สันทัดจากตระกูลละครเก่าจะช่วยทำนุบำรุงรักษาศิลป คาบูกิ ให้คงความยิ่งใหญ่ไว้ได้อย่างแท้จริงต่อไป
มีอยู่ยุคหนึ่งที่ถือกันเป็นประเพณีว่าตัวละครแต่ละคนจะต้องเล่นแต่บทที่ตนมีความสามารถเป็นพิเศษเท่านั้น ประเพณีนี้ทำให้ต้องศึกษาคุณสมบัติลักษณะของชายหญิงประเภทต่าง ๆ ด้วยความพิถีพิถันเป็นพิเศษ การเลือกเฟ้นลักษณะประจำตัวของนักแสดงทำนองนี้ได้ลดความเข้มงวดกันแล้ว นักแสดงคาบูกิ สมัยนี้ส่วนมากล้วนมีความสามารถในการแสดงคนละหลาย ๆ อย่างทั้งนั้น ยกเว้นเฉพาะ "อนนะงาตะ" หรือการแสดงเป็นผู้หญิงในเรื่องนั่นเอง เคล็ดลับความงามของ อนนะงาตะ ที่แสดงออกบนเวทีนั้น ขึ้นอยู่กับการอวดความงามอันละเมียดละไมของอิสตรีที่สร้างขึ้นเทียมความงามตามธรรมชาติ แต่มิใช่ธรรมชาติโดยสายตาของชายที่มองดูอุปนิสัยและจิตวิทยาของเพศตรงข้าม
ในยุคระบอบฟิวดัลนั้น นักแสดงคาบูกิ ถึงแม้จะมีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ประชาชนทั่วไปก็ตามแต่กลับมีสภาพชีวิตอยู่ในฐานะอันต่ำต้อยมาก ทุกวันนี้ฐานะความเป็นอยู่ของนักแสดงคาบูกิได้เขยิบสูงขึ้นมาก ซึ่งดาราเด่น ๆ บางคนได้รับพิจารณาคัดเลือกเข้าเป็นสมาชิกศิลปบัณฑิตยสภาญี่ปุ่น อันเป็นเกียรติสูงสุดสำหรับศิลปิน
นักแสดงละคร คาบูกิ ทุกคนต่างก็มีสร้อยชื่อประจำสำนักโดยเฉพาะต่อท้ายชื่อตัวทุก ๆ คนเรียกว่า "ยาโก" (yago) ตัวอย่างเช่น ดาราชื่อ คันซาบุโร นาคามูระ, โซโรกุ โอโนเอะ และ อูตาเอะมอน นาคามูระ ต่างก็มีสร้อยชื่อต่อท้ายแสดงสำนักไว้ด้วย เช่น "นาคามูระยะ" (nakamuraya), "โอโตวายะ" (otowaya) และ "นาริโกะมายะ" (narikomaya) ธรรมเนียมการใช้สร้อยชื่อเฉพาะนี้ยังมีเป็นการพิเศษประการหนึ่ง คือแฟนละครจะร้องเชียร์สร้อยชื่อประจำสำนักของดารานักแสดงที่เขาติดใจขณะปรากฏตัวออกมาสู่เวที หรือตอนออกโรงแสดงบนเวที
ในการแสดงละคร คาบูกิ นั้น จะมีคนที่มิใช่นักแสดงออกมาปรากฏตัวหน้าเวทีอยู่ตอนหนึ่งโดยเฉพาะในตอนแรกเริ่มทันทีที่เปิดฉาก ผู้ชมจะสังเกตเห็นว่ามีคนแต่งเสื้อคลุมสีดำคลุมตลอดถึงศีรษะออกมาปรากฎตัวทันทีอยู่หลังนักแสดง คนเหล่านี้เรียกว่า "คูโรโกะ" (kurogo) (มนุษย์เงาดำ) มีหน้าที่ออกมาจัดที่ทางให้เข้ากับฉากในขณะที่มีการเปิดม่านออก และทำหน้าที่เป็นผู้บอกบทไปด้วยโดยไม่ได้เข้าร่วมแสดง และคนดูก็ไม่ได้ให้ความสนใจ
ละครคาบูกิ
ปัจจุบันนี้โดยไม่มีการยกเว้นโรงละคร คาบูกิ ถูกสร้างขึ้นในแบบตะวันตกมิว่าจะเป็นลักษณะของโรงและเวทีตลอดจนอุปกรณ์ต่าง ๆ แม้กระนั้นโรงละคร คาบูกิ ก็ยังรักษาจารีตประเพณีของโรงละครเพื่อ "คาบูกิ" ไว้เป็นอย่างดี เช่น แบบ "ฮานามิจิ" (hanamichi) และ "มาวาริ - บูไท" (mawari - butai) เป็นต้น
1) เวทีแบบ "ฮานามิจิ" หรือ "ทางลาดดอกไม้"
เวทีละครแบบนี้สร้างเป็นทางเดินเชื่อมด้านซ้ายของเวทีกับด้านหลังของโรงผ่านที่นั่งของคนดูในระดับศีรษะพอดี มีช่องทางสำหรับให้ตัวละครเข้าออกได้ทางหนึ่ง เป็นช่องทางแยกต่างหากจากทางเดินเข้าออกที่ปีกซ้ายขวาของเวที เวทีแบบนี้ไม่แต่จะมีทางเดินผ่านได้เท่านั้น แต่ยังสร้างทางเดินนี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของเวทีอีกด้วย ระหว่างที่ปรากฏตัวออกมาจากทางเข้าออกของตนผ่านทางลาดดอกไม้นี้ ตัวละครจึงมักจะต้องแสดงบทบาทลักษณะเด่นที่สุดของตนไปด้วยเสมอ
2) เวทีแบบ "มาวาริ - บูไท" หรือเวทีหมุน
เวทีละครแบบนี้ประดิษฐ์ใช้กันเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อเกือบ 300 ปีมาแล้ว ต่อมาจึงได้มีผู้นำระบบเวทีหมุนนี้ไปเผยแพร่ยังต่างประเทศ เป็นเวทีที่สามารถเปลี่ยนฉากได้อย่างฉับพลันโดยไม่ทำให้การแสดงขาดตอนเลย
3) คุณลักษณะอื่น ๆ
เวทีหน้าฉากของละคร คาบูกิ มีระดับต่ำกว่าและกว้างกว่าเวทีของโรงละครของอเมริกันและยุโรป ตัวเวทีต้องเป็น รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดยาว แทนที่จะให้มีขนาดเกือบเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า เช่นเวทีละครที่ใด ๆ ในโลก
ม่านโรงละคร คาบูกิ เป็นผ้าฝ้ายลายทางสีน้ำตาลแดง, ดำ และเขียว ไม่นิยมใช้วิธีเลิกม่านขึ้นเหมือนละครตะวักตก แต่ให้รูดไปข้าง ๆ เวลาเปิดม่านการแสดง
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ละครคาบูกิ
1) แบบแผนการแสดง
โดยเหตุที่ความงามตามแบบแผนคือศิลปพื้นฐานของหลักแห่งความงามที่สำคัญประการหนึ่งของละคร "คาบูกิ" ดังนั้น จึงต้องแสดงออกมาทางบทบาทมากที่สุด - จึงจะถือเห็นหัวใจสำคัญของละคร "คาบูกิ" ที่จะรับบทในเรื่องที่เป็นอมตะจึงจำเป็นต้องมีการค้นคว้าศึกษาแบบแผนการแสดงที่สมบูรณ์แบบจากนักแสดงรุ่นก่อน ๆ ไว้ด้วยตั้งแต่แรก แบบของแนวการแสดงดังกล่าวนี้ ถึงแม้ในแรกเริ่มกำหนดไว้สำหรับการแสดงละครแนวสัจจะนิยาย ก็ยังถือเป็นแบบแผนชั้นสูงและยอมรับนับถือว่าเป็นสัญญลักษณ์ของการพัฒนาละครคาบูกิ อย่างหนึ่ง แม้แต่ในละครสัจจะ นิยายคาบูกิ เอง ข้อสังเกตเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มักจะพบบ่อย ๆ ก็คือเน้นการแสดงบท "ฟ้อนรำ" ไว้มากกว่า "บทบาท"การออกท่าออกทางทุกอิริยาบถตามบทบาทของตัวละครนั้นอาศัยประกอบด้วยทั้งสิ้น มีหลายกรณีที่สัญญลักขณ์ดังกล่าวจำเป็นต้องแสดงให้เห็นความขัดแย้งกัน ดังนั้น แบบแผนของบทบาทตัวละครจึงไม่ให้แสดงกันนานนักเพื่อมิให้ขัดกับบทบาทในท้องเรื่องจนเห็นได้ชัด
เทคนิคเฉพาะในละคร "คาบูกิ" อย่าง "มิเอะ" (Mie) เกือบจะถือเป็นเครื่องรักษาแบบแผนหลักทางความงามของละครนี้ "มิเอะ" นี้ถูกจัดไว้ในตอนที่สำคัญของเรื่องโดยเฉพาะ หรือในตอนใกล้จบการแสดงเรื่อง อะตมโดยดาราเอกที่ทางการละครนำภาพบทบาทของเขาออกโฆษณา บทบาทเช่นนี้เป็นตัวอย่างหนึ่ง ละครคาบูกิ นิยมจัดขึ้นเพื่อแสดงถึงขึดความสำคัญทางความงามของการแสดง
แบบแผนนี้ยังแสดงลักษณะประจำตัวทางความสามารถในบทเจรจาของตัวละครคาบูกิ อีกด้วย แม้ในการแสดงเรื่องประเภทสัจจะนิยายพื้นบ้าน บทเจรจาก็หาได้กำหนดให้พูดกันตามธรรมดาในท้องเรื่องไม่ แต่เป็นบทพูดแบบนิยายโดยเฉพาะ บทเจรจาใน "คาบูกิ" เฉพาะอย่างยิ่งบทเจรจายาว ๆ มักเป็นบทร้อยกรองกึ่งร้องกึ่งเจรจาที่มีศิลปการกวีผสมผสานอย่างน่าประทับใจอยู่ด้วย ยิ่งกว่านี้ยังมีอยู่บ่อย ๆ ที่ละครคาบูกิประเภทนี้มีดนตรีบรรเลงประกอบบทเจรจาเดี่ยวของตัวละครไปด้วย ซึ่งปรากฎว่าได้รับความนิยม ทำให้การแสดงบนเวทีมีลักษณะกลมกลืนเป็นลีลาตามบทกลอนได้อย่างสนิทโดยอาศัยบทบาทการเคลื่อนไหว การออกท่าออกทางให้เข้าจังหวะกับบทเจรจากึ่งเพลงผสมดนตรีที่แสดงออกในรูปแบบของการฟ้อนรำอีกแนวหนึ่ง
2) หลักการเล่นสี
รูปแบบแห่งความงามในการแสดงออกซึ่งลักษณะพื้นฐานเฉพาะของละคร "คาบูกิ" ยังมีอีกหลายอย่าง ได้แก่ ฉาก เครื่องแต่งตัว และการแต่งหน้าของตัวละคร "คาบูกิ" เป็นที่ยอมรับจากผู้ชมโดยทั่ว ๆ ไปว่าเป็นการตกแต่งที่สิ้นเปลืองและโอ่อ่าหรูหราที่สุดในโลก อาจกล่าวได้ว่าความมีชื่อเสียงโด่งดังของ "คาบูกิ" ทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับการแสดงออกทางภาพแห่งความงามเหล่านี้เป็นใหญ่ ทั้งนี้เพราะได้อาศัยการเล่นสีสวยสดประกอบภาพน่าทัศนาที่ชวนให้ทึ่งอย่างมโหฬารนี้เอง ที่สามารถตรึงความสนใจของผู้ดูอย่างเต็มที่ แม้ว่าไม่ชื่นชมกับความสนุกสนานของท้องเรื่อง
3) หลักการให้เสียงประกอบ
ดังได้กล่าวไว้แต่ต้นแล้วว่า ดนตรีก็เป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งในศิลปการละคร "คาบูกิ" แม้จะใช้เครื่องดนตรีหลายชนิดบรรเลง แต่ก็จะต้องให้ได้จังหวะเหมาะสมกับบทร้องและแสดงเอกลักษณะของมันไปในตัวด้วย เครื่องดนตรีหลักชนิดหนึ่งได้แก่ซอสามสาย เครื่องดนตรีคล้านพิณบาลาไลก้าที่ต้องดีดด้วยงาช้างหรือแผ่นโลหะที่เรียกกันพื้น ๆ ว่า "ชามิเซน" (Shamisen) สรุปแล้ววงดนตรีที่ใช้เล่นประกอบละคร คาบูกิ เรียกันว่า ดนตรีชามิเซน
ตามแบบละครประวัติศาสตร์หรือตามแบบละครพื้นบ้านนั้น ขณะที่เปิดม่านเผยให้เห็นฉาก ๆ หนึ่งนั้น ดนตรีก็จะเริ่มบรรเลงไปด้วยทันที เพื่อเร้าให้ผู้ชมเกิดความทึ่งในบรรยากาศบนเวทีตั้งแต่แรกเมื่อยังไม่มีตัวละครใด ๆ ปรากฏตัวกันเลยทีเดียว จะมีการจัดให้นักดนตรีนั่งอยู่ในหลืบฉากมุมซ้ายของเวทีไม่ให้คนดูเห็น เพลงที่เล่นเป็นเพลงโหมโรงสำหรับเรื่องนั่น ๆ ไปด้วย ในกรณีที่เป็นละครรำ เขาจะจัดที่ตั้งวงดนตรีออกโชว์ฝีมือให้คนดูเห็นกันทั่ว ๆ บนเวทีด้วย และการบรรเลงก็ต้องให้สอดคล้องกับลีลาการแสดงยิ่งขึ้น
ดนตรี "คาบูกิ" กอปรไปด้วยเพลงแบบต่าง ๆ ราว ๆ สิบกว่าประเภท ซึ่งต่างครูก็ต่างหลักกันที่นิยมเล่นกันมากที่สุดในปัจจุบันได้แก่ เพลง "นางาอุตะ" (nagauta), "โตกิวาซึ" (tokiwazu), "คิโยโมโต" (kiyomoto) และ "กิดายุ" (gidayu) เพลงหลังนี้มักนิยมใช้เล่นในละครที่ปรับปรุงมาจากหุ่นกระบอก
นอกจากความสำคัญของดนตรีแล้ว ละคร "คาบูกิ" ยังมีคุณลักษณะพิเศษด้านความละเมียดละไมในการจัดระดับเสียงอีกหลายชนิดนับไม่ถ้วนด้วย ที่สำคัญและเป็นจุดเด่นที่สุดคือเสียง "กลับ" ที่ใช้เป็นจังหวะบอกสัญญาณการเปิดและปิดฉาก ซึ่งกำหนดให้ดังเป็นจังหวะซ้ำ ๆ ขาดเป็นห้วง ๆ กลับไม้นี้ยังใช้เป็นสัญญาณเสียงบอกจังหวะประกอบลีลาการแสดงด้วย
วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ละครคาบูกิ
1. ละครประวัติศาสตร์ (Jidai-mono)
ละครประเภทนี้อาศัยข้อเท็จจริงในประวัดิศาสตร์เป็นหลัก หรือถือเอาเรื่องราวเกี่ยวกับนักรบหรือหรือขุนน้ำขุนนางเป็นต้น โดยหลายเรื่องเป็นเรื่องโศกนาฏกรรมหนัก ๆ แทรกบทตลกขบขันไว้บ้าง เพื่อผ่อนคลายความหนักอึ้งของเรื่อง เนื้อเรื่องที่ดัดแปลงมาจากละครหุ่นกระบอกก็มีมาก และมักจะกำหนดให้ตัวเอกของเรื่องทำการเสียสละสูงสุด เช่นเรื่อง "ชูชินงุระ" (Chushingura) ซึ่งเป็นละคร "คาบูกิ" ที่มีชื่อเสียงที่สุดเรื่องหนึ่งที่ดัดแปลงมากจาก "บุนระกุ" เป็นเรื่องแสดงถึงเกียรติคุณของอัศวินขาดเจ้า 47 คนที่ช่วยกันวางแผนเป็นเวลาหลายปีเพื่อต่อสู้แก้แค้นแทนเจ้านายของตนผู้ถูกบังคับให้สละตำแหน่ง ตามบทบาทในท้องเรื่องนี้คนทั้ง 47 ถึงกับยอมฆ่าตัวตาย
2. ละครพื้นบ้าน (Sewe - mono)
ละครประเภทนี้แสดงให้เห็นสภาพชีวิตในแง่มุมต่าง ๆ ของสามัญชนคนธรรมดา ตัวอย่างของเรื่องทำนองนี้ที่เด่นมี อาทิเช่นเรื่อง "คาโงทสีรูเบะ" (The Courtesan) และ "ทสีโบซากา - เดระ" (Miracle at Tsubosaka) ละครพื้นบ้านนั้นถือเอาสัจจะนิยายเป็นพื้น จึงมักไม่ใคร่มีบทบาทให้ตัวละครแสดงความเก่งกล้าสามารถเกินมนุษย์ ความสำคัญของละครประเภทนี้จึงขึ้นอยู่กับบทบาทการเจรจาและสีสันของตัวละคร มากกว่าจะเน้นหนักไปในด้านการแสดงกำลังภายในของตัวละคร ที่หมายถึงความเก่งกล้าสามารถตามท้องเรื่อง
ละครคาบูกิ ตามหลักต้นตำรานั้นอาจแยกออกได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1) บทละครที่ปรับปรุงมาจากละคร "โนห์" และ "เกียวเงน"
มีการปรับปรุงแบบอย่างการฟ้อนรำตลกจากละครเกียวเงนเข้ามารวมอยู่ด้วย เช่น บทละครรำเรื่อง "มิงาวาริ ซาเซน" (Migawari Zazen) ละครรำที่มีลักษณะจริงจังมากกว่า เช่น "คันจินโซ" (Kanjincho) และ "มุซึเมะ โดโจจิ" ก็ปรับปรุงมาจากละคร โนห์ คุณลักษณะเหล่านี้ได้รับการแก้ไขปรับปรุงขึ้นมาใหม่ให้มีลักษณะงดงามอ่อนช้อยและโอ่อ่าสะท้อนให้เห็นบรรยากาศอันภูมิฐานของต้นตำรับได้เป็นอย่างดี ฉากของละครจำพวกนี้หลายเรื่องได้รับการปรับปรุงมาจากฉากละคร โนห์ โดยตรง กอปรไปด้วยแผ่นภาพเป็นภูมิหลังเพียงแผ่นเดียวเป็นภาพต้นสนเก่าแก่ต้นหนึ่ง กับฉากด้านข้างสองด้านเป็นรูปกอไผ่เท่านั้น
2) บทละครที่ปรับปรุงมาจากละครหุ่นกระบอก
บทละครประเภทนี้ส่วนใหญ่ลอกแบบมาจากต้นตำหรับแทบทั้งดุ้น เพื่อรักษาแบบฉบับละครหุ่นกระบอกไว้ กล่าวคิอให้นักร้องกับผู้ช่วยเป็นผู้ร้องคำบรรยายเรื่องโดยจะนั่งบนยกพื้นด้านขวาเวที แบบเดียวกับละครหุ่นกระบอก แต่บทเจรจานั้นตัวละครจะกล่าวเองโดยมอบการพรรณาเรื่องให้เป็นหน้าที่ของคนร้อง ละครจำพวกนี้ก็มีอาทิเช่นเรื่อง "ชูชินกูระ" (Chushingura) และ "ทสึโบซากา - เดระ" (Tsubosaka - Dera) เป็นต้น
3) บทละคร "คาบูกิ" โดยเฉพาะ
บทละครจำพวกนี้เขียนขึ้นมาสำหรับ "คาบูกิ" โดยเฉพาะ ผลงานชั้นเยี่ยมในบรรดาละครแบบนี้มีอยู่จำนวนหนึ่งที่ยอมรับนับถือกันมาก เช่นเรื่อง "คาโงทสึรูเบ"
วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ละครคาบูกิ
"คาบูกิ" เป็นนาฎศิลป์ประจำชาติอีกชนิดหนึ่งของญี่ปุ่น มีประวัติย้อนหลังไปถึงสมัยปลายศตวรรษที่ 16 ซึ่งได้มีการปรับปรุงและวิวัฒนาการเรื่อยมาจนกระทั่งกลายเป็นนาฎศิลป์อันวิจิตรของประเทศอย่างสมบูรณ์ในปัจจุบัน ถึงแม้จะไม่ขึ้นหน้าขึ้นตาเหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต แต่ทุกวันนี้ละคร คาบูกิ ยังคงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชนชาวญี่ปุ่น และแม้ในปัจจุบันนี้การแสดงคงยังดึงดูดผู้ชมเป็นจำนวนมากเสมอ
ระหว่างที่ละครนี้เคยเฟื่องฟู เช่น ในยุค "เอโด" (Yedo) อันเป็นสมัยที่ละคร คาบูกิ ได้รับการปรับปรุงกันอย่างขนานใหญ่ ตรงกับสมัยที่ชนชั้นนักรบกับสามัญชนมีการแบ่งแยกชั้นกันอย่างเข้มงวดยิ่งกว่าสมัยใด ๆ ในประวัติศาสตร์ชาติญี่ปุ่น ศิลปการละคร "คาบูกิ" กลับกลายเป็นเครื่องมืออำนวยประโยชน์ให้แก่พ่อค้าวานิชน์อย่างเป็นกอบเป็นกำในยุคโน้น ซึ่งนับวันก็ยิ่งมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังคงถูกจัดชั้นเข้าในระดับสามัญชนอยู่นั่นเอง "คาบูกิ" สำหรับชนชั้นพ่อค้าดูจะกลายเป็นศิลปสัญญลักขณ์เด่นที่สุดที่ส่อให้เห็นจินตนาการของพ่อค้าในยุคดังกล่าว การแสดงละครในยุคนั้นจึงยึงคติส่อถึงความขัดแย้งระหว่างมนุษยธรรมกับระบอบฟิวดัล จากผลของศิลปการแสดงในด้านมนุษยธรรมนี้เอง ที่ช่วยให้ละคร "คาบูกิ" ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่ประชาชนทั่วไปในยุคนั้นตราบกระทั่งมาถึงปัจจุบัน
หลักสำคัญที่เป็นศิลป "คาบูกิ" ซึ่งน่าจะถือเป็นสัญญลักขณ์อันแท้จริงที่แสดงถึงแก่นแท้แห่งวิญญาณนาฏศิลป์นี้ก็คือ ไม่มีการใช้ผู้หญิงแสดงเลย บทบาทของตัวละครหญิงในเรื่องทุกเรื่องของ "คาบูกิ" แสดงโดยผู้ชายผู้มีฝีมือในด้านนี้โดยเฉพาะ เรียกกันว่า "อนนะงาตะ " (onnagata) ตัวละคร "คาบูกิ" ในยุคเริ่มแรกนั้นส่วนใหญ่ใช้ผู้หญิงแสดง ต่อมาเมื่อมีผู้นิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นักแสดงผู้หญิงก็เริ่มมีผู้ชายที่หลงใหลในบทบาทของเธอเข้ามาพัวพันในชีวิตส่วนตัวเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ทางการวิตกว่าสภาพการณ์ดังกล่าวนี้หากปล่อยทิ้งไว้ต่อไป วงการนาฏศิลป์ คาบูกิ อาจจะเสื่อมความนิยมจากประชาชนไปก็ได้ ในปี พ.ศ. 2172 จึงได้มีการประกาศห้ามมิให้ใช้ผู้หญิงแสดงในละครชนิดนี้โดยเด็ดขาด
แต่ละ คาบูกิ ในรูปของนาฏศิลป์ได้เป็นที่ยอมรับแก่สาธารณชนอยู่แล้ว แม้ผู้ชายจะเข้ามาแสดง "คาบูกิ" แทนผู้หญิงโดยทันที ประชาชนก็ยังคงนิยมละครคาบูกิแสดงโดยผู้ชายตลอดมาจนปัจจุบันนี้ การห้ามผู้หญิงเข้าแสดงในละครชนิดนี้มีผลมาราว ๆ 250 ปี ขณะเดียวกันนั้นเอง "คาบูกิ" ก็มีการปรับปรุงวิวัฒนาการมาสู่นาฏศิลป์ "อนนะงาตะ" โดยสมบูรณ์ กลายเป็นศิลปการแสดงที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้าร่วมแสดงด้วยอีกเลย แม้เมื่อได้มีการยกเลิกคำสั่งนี้ห้ามนี้ไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นศิลป "อนนะงาตะ" ได้กลายเป็นองค์ประกอบอันสมบูรณ์ของละคร "คาบูกิ" ซึ่งหากตัดศิลปนี้ออกไปเสียคุณลักษณะประจำของ "คาบูกิ" ก็จะหมดไปโดยสิ้นเชิงทีเดียว
ลักษณะประจำที่สำคัญของละคร "คาบูกิ" อีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นละครที่ผสมผสานเอาการเล่นต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน เป็นแบบเฉพาะอย่างหนึ่ง นับแต่มีการริเริ่มขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา ละคร "คาบูกิ" ได้ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยการผสมผสานเอาการแสดงในรูปแบบต่าง ๆ ของญี่ปุ่นในสมัยก่อน ๆ เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในบรรดานาฎศิลป์ประจำชาติที่ละคร "คาบูกิ" ได้รวบรวมเอาเทคนิคการแสดงและการกำกับมาใช้ ก็ได้ละคร "โนห์" (Noh) และการเล่นที่เรียกว่า "เกียวเงน" (Kyogen) หรือการเล่นตลกสลับฉากระหว่างการแสดงละคร "โนห์" ทุกวันนี้จำนวนชาวญี่ปุ่นที่มองเห็นคุณค่าของละคร "โนห์" อันแท้จริงนับวันก็จะลดน้อยลงไปกว่าจำนวนผู้ที่โปรดปรานการแสดง "คาบูกิ" ไปทุกขณะ แต่การแสดง "คาบูกิ" ที่ปรับปรุงหรือนำเอารูปแบบของละคร "โนห์" เข้ามารวมไว้ด้วยกลับได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และกลายเป็นรูปแบบการแสดงอย่างหนึ่งที่จะขาดไปจากคุณลักษณะทั้งหมดของ "คาบูกิ" เสียมิได้
การเล่นอีกชนิดหนึ่งที่กลมกลืนอยู่ในนาฎศิลป์ "คาบูกิ" ก็คือหุ่นกระบอก หรือที่เรียกกันว่า "บุนระกุ" (Bunraka) เป็นการเล่นที่เกิดขึ้นไล่ ๆ กับละคร "คาบูกิ" ในระยะแรก ๆ นั้นเอง การแสดงละคร "คาบูกิ" นั้น ถือเอาตัวละครเป็นหลักสำคัญมากกว่าหลักอื่นใด เช่น คุณค่าทางบทละครที่นำมาเล่น เป็นต้น ระหว่างต้น ๆ ศตวรรษที่ 17 มีนักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่บางท่านรวมทั้งมอนซาเอมอน ชิคามัตสุ ผู้ได้รับฉายาว่า "เชคสเปรียร์แห่งญี่ปุ่น" ได้วางมือจากการแต่งบทละครคาบูกิที่ยึดให้ตัวแสดงเป็นเอก หันมาแต่งบทละครหุ่นกระบอกซึ่งไม่เข้มงวดนักในด้านการเน้นบทบาทของตัวแสดงเอกเหมือน "คาบูกิ" ด้วยเหตุนี้ จึงมีอยู่ยุคหนึ่งที่การเล่นหุ่นกระบอกกลายเป็นการแสดงที่บดบังความสามารถของนักแสดงละครไประยะหนึ่ง และเป็นยุคที่หุ่นกระบอกได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายยิ่งกว่าละคร "คาบูกิ" เพื่อเอาชนะการเล่นชนิดนี้ จึงได้มีการปรับปรุงละคร "คาบูกิ" โดยรับเอาการเล่นแบบหุ่นกระบอกเข้ามารวมไว้ด้วยทั้งหมด ฉะนั้น ทุกวันนี้ละคร "คาบูกิ" ที่แสดงอยู่มากกว่าครึ่งยกเว้นกลุ่มละครรำรวมจึงกำหนดให้มีการแสดงนาฏศิลป์ต้นแบบ "บุนระกุ" เข้าไว้ด้วย ตัวอย่างอันสมบูรณ์จากการแสดงผสมผสานต่าง ๆ เข้าด้วยกันเป็น "คาบูกิ" ในบั้นปลายได้มีขึ้นในตอนปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งรวบรวมเอาจินตนิยายเข้ามาผสมจนกลายเป็นศิลปการแสดงของละครชนิดนี้ขึ้นด้วย
ประชาชนญี่ปุ่นยังไม่เคยได้ชมละครชนิดใดที่จะแสดงทั้งสีสันอันวิจิตรตระการตา งามโอ่อ่าตื่นเต้นประทับใจครบทุกรส เหมือนการชมละคร "คาบูกิ" มาก่อนเลย โดยคุณลักษณะเหล่านี้ อาจกล่าวได้ว่า คงไม่มีละครแบบใด ๆ ในโลกที่จะอาจเทียบได้กับละคร "คาบูกิ" ของญี่ปุ่น
วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553
มรรค
1. สัมมาทิฏฐิ การเห็นแจ้งในอริยสัจทั้ง 4 คือ
1) เห็นแจ้งใน ทุกขสัจจะ คือ ความจริงที่เป็นทุกข์
2) เห็นแจ้งใน สมุทยสัจจะ คือ รู้ธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
3) เห็นแจ้งใน นิโรธสัจจะ คือ รู้ธรรมที่เป็นเครื่องดับทุกข์
4) เห็นแจ้งใน มรรคสัจจะ คือ รู้ธรรมที่เป็นเหตุให้ถึงความดับทุกข์
2. สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบเกี่ยวกับ
1) ความดำริที่ออกจากกามคุณ มีรูป, รส, กลิ่น, เสียง โผฎฐัพพรมณ์
2) ความดำริที่ประกอบด้วยเมตตา
3) ความดำริที่ประกอบด้วยกรุณา เหล่านี้ ชื่อว่า สัมมาสังกัปปะ
3. สัมมาวาจา การเว้นจาก วจีทุจริต 4 ที่ไม่เกี่ยวกับอาชีพ ชื่อว่า สัมมาวาจา อาทิเช่น ไม่พูดโกหก, ไม่พูดส่อเสียด, ไม่พูดหยาบคาย, ไม่พูด เพ้อเจ้อ
4. สัมมากัมมันตะ การเว้นจากกายทุจริตทั้ง 3 คือ การฆ่าสัตว์, การลักทรัพย์, การประพฤติผิดในกาม ชื่อว่า สัมมากัมมันตะ
5. สัมมาอาชีวะ การเว้นจากวจีทุจริต 4 และกายทุจริต 3 ที่เกี่ยวกับอาชีพ อาทิเช่น ไม่ค้ามนุษย์, ไม่ค้าอาวุธ, ไม่สัตว์มีชีวิต, ไม่ค้ายาพิษ, ไม่ค้าน้ำเมา
6. สัมมาวายมะ ความเพียรชอบ
7. สัมมาสติ ความระลึกที่ดำเนินไปตามสติปัฏฐานทั้ง 4 ชื่อว่า สัมมาสติ
8. สัมมาสมาธิ ความตั้งมั่นในอารมณ์วิปัสสนากรรมฐาน ชื่อว่า สัมมาสมาธิ